เป็นกระแสชื่นชมและยกย่องกันอย่างมากในโลกออนไลน์กับความดีและความกล้าของนักแสดงหนุ่มใหญ่ เกริก ชิลเลอร์ ที่ตอบคำถามผู้ติดเชื้อ HIV ว่าไม่ได้รังเกียจและยินดีตัดผมให้ ทาง Men.MThai เราเลยขอสัมภาษณ์ถึงที่มาของการมาเป็นช่างตัดผม ทางคุณ เกริก ชิลเลอร์ ได้เปิดบ้านให้เราไปสัมภาษณ์ที่ Schiller Studio ซึ่งดัดแปลงจากสตูดิโอสอนการแสดงมาเป็นสถานที่ตัดผม
คุณ เกริก ชิลเลอร์ บอกกับเราว่าเขาเริ่มตัดผมมาได้ปีกว่าแล้ว จุดริ่มต้นคือการตัดผมให้ลูกสาวทั้ง 3 คนแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ จากนั้นจึงศึกษาดูวิธีการตัดผมจากยูทูปแล้วคิดว่าไม่น่ายาก จึงได้ไปหาซื้ออุปกรณ์ตัดผมและเริ่มทดลองตัดผมให้กับช่างไฟในกองถ่าย แต่ปรากฎว่าไม่ประสบความสำเร็จ จนเขาเกิดความรู้สึกอยากจะเอาชนะและจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้เลยได้ไปเรียนตัดผมกับคุณสมศักดิ์ ชลาชล จากนั้นก็ตัดผมเป็นเรื่องเป็นราวให้กับคนในกองถ่าย
จากที่มีผู้ติดเชื้อHIV ถามเรื่องการตัดผมให้ผู้ติดเชื้อ เกิดเป็นกระแสชื่นชมอย่างมาก
ก็เป็นการตอบแบบธรรมดา มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ต้องให้กำลังใจกันอยู่แล้ว เผื่อเขาเป็นจริงๆไม่ได้มาอำเราเล่นเขาถามเราจริงจัง เราจะไปตอบเล่นๆไม่ได้เดี๋ยวจะเป็นการไปซ้ำเติมเขาอีก
แล้วคนที่เข้าถามคำถามตอนนั้น ยังมีการติดต่อมาตัดผมหรือเปล่า
ก็ยังมีเข้ามาทักทายกันในเฟซบุ๊คอยู่ แต่ด้วยความที่เขาอยู่ที่ต่างจังหวัดคงไม่สะดวกมาตัด ก็เคยเข้าไปดูในเฟซบุ๊คเขานะ ก็เห็นมีลูกชายโตแล้วด้วย
พอเกิดกระแสข่าวนี้ ทำให้หลายๆคนเพิ่งจะรู้ว่าพี่เกริกเป็นช่างตัดผม
ก็มีหลายคนที่เพิ่งมารู้ว่าผมตัดผมได้ จริงๆผมเริ่มตัดผมมาได้ปีกว่าแล้วนะ ตั้งแต่ตอนที่ถ่ายละครเรื่องกังฟู ของช่อง3 เริ่มไปเรียนตัดผมและเริ่มตัดผมให้คนในกองถ่าย
อยู่ที่กองถ่ายตอนนี้ก็กลายเป็นที่ต้องการของทุกคนใช่ไหม
ใช่ ไปถึงกองถ่ายก็จะมีมาแบบ “ตัดผมให้หน่อยพี่” ตลอด เวลาอยู่ในกองก็จะมีเดินผ่านไปผ่านมาคอยมองหาจังหวะมาตัดผมด้วย แต่พี่ก็ไม่อิดออดนะ เพราะรู้สึกสนุก เรื่องตัดผมเป็นเรื่องสนุกสำหรับเราไปแล้วเหมือนได้ทานขนม
งานนี้คุณเกริกประเดิมลงกรรไกร ให้กับ ช่างภาพของ MThai เองเลย
คิดจะเปิดร้านตัดผมเป็นเรื่องเป็นราวเลยไหม
ทำ วันไหนที่ว่างก็จะมีลูกค้าเข้ามาตัดกันที่นี้ อย่างวันพรุ่งนี้กับวันถัดไปจะว่าง ก็จะมีคนมาตัดผมด้วยเยอะเลย ผมทำเองคนเดียว ตัดผมอยู่ในบ้านทำให้ไม่มีต้นทุนเรื่องค่าสถานที่ ก็เลยจะคิดหัวละ 500 บาทเท่ากันทุกคน
ทราบมาว่าทำบุญด้วยการตัดผมให้คนอื่น
ทุกวันนี้ก็ทำบุญตลอดเพราะไม่ได้คิดเงิน ยกเว้นคนที่นัดเข้ามาตัดผมที่บ้าน ที่กองถ่ายผมจะตัดให้ฟรีไม่เคยคิดเงินตั้งแต่เริ่มตัดผมครั้งแรกจนตอนนี้ปีกว่าแล้ว บางคนก็บอกว่าให้เก็บคนละ 20 บาทแล้วเอาเงินใส่กล่องไปทำบุญ แต่ผมคิดว่าบุญสำเร็จแล้วตั้งแต่ตัดผมให้เขา ถ้าจะช่วยเขาก็ต้องช่วยเขาจริงๆไม่ต้องไปเอาเงินเขา
เป็นคนที่มีความสุขในการให้
ผมเป็นชาวพุทธ การทำบุญของศาสนาพุทธมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่สุดของการทำบุญต้องทำด้วยใจบริสุทธิ์จริงๆด้วยการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากทำบุญเราก็ต้องให้ การให้เงินคนที่รับไปเขาก็จะไม่รู้คุณค่า แต่ถ้าเราเปลี่ยนจากการให้เงินเป็นการให้แรงของเราไปทำอะไรเพื่อคนอื่น ผมว่ามันน่าจะให้ความรู้สึกที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นการตัดผมให้เขาน่าจะทำให้เขามีความสุขที่อย่างน้อยก็มีดาราคนหนึ่งมาตัดผมให้เขาด้วยใจ
ตัดผมให้ครอบครัวด้วยไหม
ตัดให้ทุกคน ตอนนี้ไม่มีใครเสียเงินไปตัดผม
อยากตัดผมให้ใครเป็นพิเศษไหม
อยากตัดให้ทุกคนไม่เลือกว่ายากดีมีจน ไม่ได้คิดจะรวยด้วยอาชีพนี้ จุดประสงค์ที่มาตัดผมเพราะอยากจะทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข และสามารถทำได้ที่บ้านไม่ต้องออกไปผจญรถติด
มีครั้งไหนที่ตัดแล้วรู้สึกว่ายากบ้าง
มันยากทุกหัว เหงื่อตกทุกหัว จริงๆ มันเป็นงานแก้ไข ถ้าจะถามว่าพอใจไหมกับทุกหัวที่ตัดมาไหม ไม่มีช่างคนไหนกล้าพอใจในสิ่งทำมาแล้วหรอก มันหยุดไม่ได้ โลกมันหมุนไปคุณก็ต้องฝึกตัวเองตลอดเวลา ถ้าคุณคิดว่าคุณเก่งแล้วคุณหยุดอยู่แค่นี้ มันก็เหมือนน้ำเต็มแก้วไม่เปิดโอกาสให้มีน้ำอื่นมาเติมก็จะกลายเป็นน้ำเก่าๆอยู่ในแก้วเก่าๆ
พอเจอคุณ เกริก ชิลเลอร์ ในตอนแรกต้องยอมรับว่าจุดเด่นที่ดึงดูดสายตาคือบรรดา รอยสัก ทั้งหลายที่อยู่บนตัวของเขา ทาง men.mthai เลยอดไม่ได้ที่จะสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
สไตล์ที่ผมสักจะเรียกว่า Old School ผสมกับ New School
เริ่มชอบการสักตั้งแต่ตอนไหน
เริ่มชอบมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว เพราะรสนิยมการฟังเพลงของตัวเองเป็นแนวร็อก แนวเฮฟวี่ ตอนนั้นไปอยู่ที่อเมริกาช่วงอายุ 19 – 23 ปี อยู่ที่เมืองดีทรอยต์ มิชิแกน เป็นเมืองที่ฟังเพลงร็อกเลยได้รับอิทธิพลมา ตอนนั้นยังไม่มีเงินเลยไม่ได้สักแต่อยากสักมาก ก็เลยมาตั้งใจทำงานหาเงินมาตลอดจนลืมความชอบนี้ไปแล้ว จนมาวันหนึ่งค่อยมานึกขึ้นได้ถึงความเป็นตัวตนของเรา จริงๆแล้ว เกริก ชิลเลอร์ ที่ทุกคนเห็นในจอมาตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นตัวตนของผมเลย เกริก ชิลเลอร์คือแบบนี้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก
ช่วงไหนที่เริ่มหันมาสักจริงๆจังๆ
ไม่กี่ปีมานี้ พอเริ่มหันซ้ายหันขวาแล้วรู้สึกว่าคนที่แก่กว่าเราก็เริ่มน้อยลงแล้ว ตัวเราก็เริ่มกลายเป็นรุ่นใหญ่เข้าไปทุกที ก็มานึกอยากจะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง แต่ก็ทำได้แค่ครึ่งเดียว คือครึ่งหนึ่งทำเพื่อตัวเองส่วนอีกครึ่งหนึ่งทำเพื่อคนอื่น คือถ้าทำเพื่อตัวเองคนเดียวก็อยากตัดผมโมฮอร์คเป็นพังค์ไปเลย แต่ด้วยอีกครึ่งหนึ่งยังมีงานที่ต้องเล่นละคร มีครอบครัวมีลูกสาว ยังมีภาพลักษณ์ในสังคมก็ต้องเป็นตัวอย่างให้สังคม ต้องรับผิดชอบสังคมด้วย ดังนั้นในเฟซบุ๊คของผมก็จะเล่าประสบการณ์แทรกข้อคิดวิธีการใช้ชีวิต วิธีการทำงาน วิธิการวางตัว วิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่น วิธีการดูแลสภาพจิตใจตัวเอง ก็จะพยายามแทรกเข้าไป
เวลาที่สักลาย ถ้าชอบก็สักลงไปเลยหรือเปล่า
ไม่นะ มีการวางแผนก่อนทุกครั้งที่สัก สไตล์ที่ผมสักจะเรียกว่า Old School ผสมกับ New School รอยสักของผมจะเป็นเหมือนการแป๊ะสติ๊กเกอร์เป็นชิ้นๆ จะไม่สักติดกันเป็นพรึ่บแล้วดูไม่รู้เรื่อง
ลายสักไหนใหญ่สุด
เป็นลายสักรูปเสือที่อยู่ตรงกลางหลัง
รอยสักอันแรกคือตรงไหน
อันแรกสักลายอื่นทับไปแล้ว จะเห็นลางๆอยู่เป็นตัวหนังสือภาษาจีน (ชี้ไปที่กล้ามแขนซ้าย) ตอนนั้นไปกับภรรยาช่วงที่รู้จักกันใหม่ไปเดินห้างกัน 2 คน เจอร้านสักก็เลยไปสักคนละอัน โห!! ตอนนั้นเจ็บมาก ทำไมมันเจ็บขนาดนี้เนี่ย ก็ยังสักไปมากกว่านั้นไม่ได้เพราะโดนขู่ไว้เดี๋ยวจะไม่มีใครเรียกเล่นละครนะ เดี๋ยวจะโดนโน่น นี่ นั่น จนมาค้นพบว่าถ้าคุณมั่นใจแล้วว่าคุณมีความสามารถ คุณเก่ง คุณทำได้ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวเขาเชิญคุณไปทำงานเอง ถ้าคุณมีของดีคนที่ทำงานด้วยกันก็จะเห็น ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผมสักเต็มตัวอย่างนี้ แต่งานละครเยอะกว่าเดิมอีก
จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับคุณเกริก ชิลเลอร์ ทำให้ Men.MThai ได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มีความคิดดีและมีมุมมองในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังส่งมอบความสุขไปให้ผู้อื่นรอบข้างตัวเขาอีกด้วย ท้ายนี้ทาง Men.MThai เลยขอให้เขาได้ฝากข้อคิดสำหรับคนที่สนใจในเรื่องการสักอีกด้วย
“ฝากถึงเรื่องรอยสักนะครับ หลายคนเห็นผมสักอย่างนี้แล้วบางทีไปเป็นฮีโร่ของใครบ้างไม่รู้โดยที่ผมก็ไม่ได้รู้ตัวเลย อาจเห็นว่ามันเท่หรือมันดี แต่ว่ากว่าที่ผมจะมาสักอย่างนี้ได้ก็ต้องใช้เวลารออยู่หลายปีมาก จนกว่าทั้งวุฒิภาวะ สถานะ ทั้งภาระของผมหมดไป แล้วมั่นใจตัวเองได้ว่าตัวเองสามารถที่จะพึ่งตนเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งใครหรือขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ถ้าเกิดว่าคุณยังอยู่ในวัยที่คุณยังไม่รู้จักว่าตัวเองเป็นใครกันแน่หรือว่าคุณชอบอะไร หรือว่าคุณยังต้องอาศัยผู้อื่นในการดำรงชีวิตอยู่ คุณก็อย่าสักเลยผมแนะนำอย่างนี้ แต่ถ้าเกิดว่าวันไหนคุณมั่นใจว่าตัวคุณมีของ ตัวคุณเองเป็นอย่างนี้ คุณรักที่จะเป็นแบบนี้ แล้วคุณรู้ว่าคุณจะไปทางไหนแน่ๆแล้วคุณมุ่งไปเลย คุณอยากทำอะไรคุณทำไปเลย นั่นแสดงว่าคุณรู้ตัวแล้วว่าคุณเป็นใคร”
อัลบั้มภาพ 22 ภาพ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ใจหล่อมาก! เกริก ไม่รังเกียจตัดผมผู้ป่วย HIV
ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ของนักแสดงมากความสามารถ เกริก ชิลเลอร์ ที่ชื่นชอบการตัดผม ทั้งตัดให้ตัวเองและคนอื่น (แบบไม่เคยเก็บเงินสักบาท) เร่งพัฒนาฝีมือตลอด 1 ปีเต็มจนเร็วๆ นี้กำลังจะเปิดร้านตัดผมเป็นขอ…..